Thursday, April 26, 2012

ประโยชน์ของธาตุสังกะสี Zinc

                                                                                                                                           ภาพโดย: amazon.com
        Zinc (ธาตุสังกะสี) เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ตามปกติสังกะสี เป็นแร่ธาตุที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ไม่สามารถขาดได้ พบมากในผม เล็บ อัณฑะ กระดูก กล้ามเนื้อและ ตับ เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ชนิด เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ นอกจากนี้ยัง ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของโครงสร้างเล็บ ผมและผิวหนัง
    
           แหล่งอาหารที่สำคัญของ zinc(ธาตุสังกะสี) : หอยนางรม เนื้อสัตว์ อาหารทะเล จมูกถั่วเหลือง ไข่แดง ธัญพืชและถั่วต่าง ๆ
           ประโยชน์ของ Zinc(ธาตุสังกะสี)
1.      ช่วยบำรุงในเรื่องของเล็บ ผม เป็นหลัก ซึ่งเมื่อทานแล้ว จะช่วยให้ผม เล็บ แข็งแรงขึ้น
2.      ช่วยการรักษาสมดุลของการผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ รวมถึงการควบคุมการผลิตน้ำมันบริเวณต่อมน้ำมันใต้ผิวหนังให้เป็นปกติ นอกจากนี้งานวิจัยยังพบว่า ด้วยคุณสมบัติของการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและภูมิคุ้มกันของธาตุสังกะสีจึงสามารถต่อต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย
3.      ช่วยควบคุมการทำงานของอินซูลิน ในร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้การเปลี่ยนแปลงน้ำตาลในกระแสเลือดมาเป็นพลังงานได้มาก
4.       ช่วยกระตุ้นการทำงานของ T - Lymphocyte ซึ่ง T-Lymphocyte เป็นส่วนประกองที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวสำหรับการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย มีบทบาทต่อภูมิคุ้มกันในร่างกาย
5.      ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามิน A ได้ดีขึ้นและเซลล์สามารถนำวิตามิน A ไปใช้ได้ดีขึ้น รวมถึงเซลล์บริเวณประสาท ซึ่งวิตามิน A เป็นวิตามินที่ช่วยบำรุงสายตา
6.      ช่วยควบคุมในการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายได้ดีขึ้น
7.      ช่วยสร้างกรดนิวคลีอิค ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยสร้างเซลล์ใหม่จึงช่วยให้แผลผ่าตัดหายเร็วขึ้น รวมถึงแผลที่อักเสบเรื้อรังมานานให้หายเร็วขึ้น
8.      ช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหวัด

 อาการบ่งบอกว่าขาดZinc (แร่ธาตุสังกะสี)
   • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
   • บาดแผลหายช้า
   • สูญเสียการรับรู้กลิ่นและรส
   • ผิวหนังอักเสบ เป็นสิว
  •เล็บเป็นจุดขาว
           วิธีการทาน
ควรทานหลังอาหารเช้าเพราะจะทำให้รางกายดูดซึมแร่ธาตุได้ดี  ไม่ควรทานก่อนนอน เพราะขณะนั้นเป็นช่วงที่ท้องว่าง หากทานเข้าไปการดูดซึมจะมีน้อยทำให้Zinc มีประสิทธิภาพต่ำ
           คำแนะนำ
การเลือกซื้อ Zinc (ธาตุสังกะสี)ต้องเป็นแร่ธาตุสังกะสีในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี ไม่เหลือปริมาณตกค้างจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงกับระบบทางเดินอาหาร รวมถึงต้องยังคงรักษาไว้ซึ่งประสิทธิภาพที่ร่างกายควรจะได้รับ ซึ่งรูปแบบที่ดีคือ รูปแบบที่เรียกว่า ซิงค์ อะมิโน แอซิด คีเลต (Zinc Amino Acid Chelate)”
อะมิโน แอซิด คีเลต (Amino Acid Chelate) คือ รูปแบบของการจับกันระหว่างโลหะ (แร่ธาตุ) กับกรดอะมิโน เพื่อทำหน้าที่ในการนำโลหะเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งผลดีที่ได้รับจากการที่มีแร่ธาตุอยู่ในรูปแบบนี้คือ ทำให้มีการดูดซึมอย่างรวดเร็วพร้อมกับได้รับปริมาณแร่ธาตุที่ครบถ้วนและไม่เหลือการตกค้างของโลหะดังกล่าว
*** Zine เป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการในปริมาณน้อยแต่ขาดไม่ได้ ดังนั้นควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะหรือภายใต้คำแนะนำของแพทย์***

Sunday, April 22, 2012

Fraxel laser

 Fraxel Laser ลบรอยแผลเป็น Fraxel Laser ลบรอยสิว
                                        


 Fraxel Laser เป็นเลเซอร์ Gold Standard เครื่องเดียวและเครื่องแรกโดยใช้หลักการ Fractional Photothermolysis ที่ใช้ในการ รักษาฝ้า จุดด่างดำ รักษาริ้วรอย รอยแผลเป็นจากสิว รอยแผลเป็นจากการผ่าตัดและซ่อมแซมผิวหนังที่ปลอดภัย และทันสมัย 
ขั้นตอนการทำงานของFraxel  Laser
หลักการของ  Fraxel laser คือ การปล่อยคลื่นแสงในช่วง mid infrared ลงไปใต้ผิวเป็นจุดเล็กมากๆนับพันจุด ต่อตารางเซนติเมตร อีกทั้งสามารถปรับระดับการรักษาให้เป็นเปอร์เซนต์ครอบคลุมต่อพื้นที่ เพื่อลดอาการบวมแดง ลดผลข้างเคียงต่างๆ อีกทั้งยังให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนกว่าเดิมอีกด้วย คลื่นแสงจะลงไปยังบริเวณผิวหนังในระดับที่พอดีกับ การสร้างเซลล์ผิวใหม่ เช่น หากต้องการรักษาฝ้า จุดด่างดำ ก็จะปล่อยแสงลงไปใต้ผิวหนังระดับตื้น แต่หากต้องการรักษา แผลเป็นจากสิว หรือริ้วรอยเหี่ยวย่น ก็จะต้องปล่อยแสงลงไปในระดับลึกถึงชั้นโครงสร้างคอลลาเจน โดย Fraxel laser สามารถส่งผ่านแสงเลเซอร์ลงไปลึกถึง 1400 ไมครอน โดยแพทย์จะเป็นผู้เลือกว่าการรักษาแบบต่างๆควรจะให้แสงเลเซอร์ ลงไปลึกสู่ผิวลึกแค่ไหน เมื่อแสงสัมผัสกับผิวจะเกิดประกฎการณ์ Fractional Photothermolysis ขึ้นและ ณ ตำแหน่งนั้นเอง เซลล์เก่าจะแปลสภาพเป็นเซลล์ที่ตายไป ซึ่งจะถูกผลักให้หลุดออกไปภายใน 1-2 สัปดาห์ และมีเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่
ปัญหาแก้ไขด้วยFraxel leser
ริ้วรอยเหี่ยวย่นต่างๆทุกบริเวณ
ฝ้า จุดด่างดำ และสภาพผิวที่เสื่อมโทรมตามวัย ทุกบริเวณทั่วร่างกาย
รอยแผลเป็นจากสิว รอยแผลเป็นจากการผ่าตัด
รูขุมขนกว้าง
ผิวหน้าหยาบกร้านไม่เรียบเนียน
การสร้างผิวใหม่ (Resurfacing)
นอกจากนี้ยังสามารถใช้รักษาปัญหาผิวแตกลาย ได้ดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อน
การเตรียมตัวก่อนทำ Fraxel laser
1.งดใช้ยาในกลุ่มวิตมิน A เช่น Glycolic acid and Retin A เป็นต้น
2.ทายาก่อนทำ Fraxel ก่อน 45 นาที
3.ทำความสะอาดผิวบริเวณที่ทำ Fraxel laser ให้สะอาด
ขณะทำการรักษาด้วย Fraxel laser
จะรู้สึกแสบร้อนๆในบริเวณที่ทำการรักษา และจะได้ยินเสียงการทำงานของดังตลอด ในการทำจะต้องทำหลายรอบ รอบแรกๆจะยังไม่รู้สึกแสบร้อนมาก แต่รอยหลังๆจะรู้สึกแสบร้อนมาก ในขณะทำจะมีการเป่าลมเย็นด้วย หลังการทำจะต้องเป่าลมเย็นบริเวณที่ทำอย่างน้อย 30 นาที ผิวบริเวรที่ทำจะมีอาการแดงบวมอยู่ประมาณ 8 ชั่วโมง
คำแนะนำสำหรับการทำ Fraxel laser
อาการที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังทำการรักษา หลังทำการรักษาด้วย Fraxel อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น โดยระยะเวลาและระดับอาการของผลข้างเคียงขึ้นอยู่กับระดับพลังงานที่ใช้ในการรักษาและกระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง ในแต่ละบุคคล โดยปรกติผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยพลังงานที่สูงมักจะมีระยะเวลาของการเกิดผลข้างเคียงที่นานกว่า และในบางรายอาจมีอาการไข้เกิดขึ้น โปรดแจ้งแก่แพทย์ผู้ทำการรักษาหากผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นกลายเป็นปัญหาสำหรับคนไข้
1.Swelling : อาการบวมมักเกิดขึ้นในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นหลังจากทำการรักษา  โดยเฉพาะบริเวณใต้ดวงตาปรกติจะคงอยู่ประมาณ 2-3 วันเพื่อลดอาการดังกล่าวสามารถทำตามขั้นตอนดังนี้
หลังทำการรักษาให้ประคบเย็นบริเวณที่ทำการรักษาเป็นระยะเวลา 10 นาที ทุกๆ1 ชม.  จนกระทั้งเข้านอน
ในคืนแรกหลังทำการรักษาให้นอนศีรษะสูง
2.Redness : โดยทั้งไปอาการผิวหน้าแดง มักเกิดในสัปดาห์แรกหลังทำการรักษา แต่บางครั้งอาการผิวหน้าแดงเล็กน้อยอาจยังคงอยู่มากกว่า 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยสามารถแต่งหน้าลบเลือนรอยแดงได้ตามปรกติ
3.Dry skin : อาจมีอาการผิวแห้ง ผิวเป้นขลุ่ย หรือเป็นสะเก็ด หรือมีอาการคล้ายผิวหน้าสาก ๆประมาณ 2-3วันซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากกระบวนการผลัดเซลล์ขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนเซลล์ผิวเดิม
4.Bronzing , Crusting and Small Dark Dots : การรักษาด้วย Fraxel leser จะมีการทำลายผิวเป็นลักษณะทรงกระบอกแทงลงที่ผิวในลักษณะกระจายกันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษามีสีคล้ำขึ้นหรือที่เรียกว่าปฏิกิริยา MENDs หรือในบางรายที่ใช้พลังงานในการรักษาสูง อาจมองเห็นที่ผิวชัดเจนขึ้นว่าเป็นจุดเล็กๆสีดำ โดยปรกติหากเป้นบริเวณผิวหน้ามักจะหายไปภายใน 7-10 วันหากเป้นบริเวณร่างกายอาจอาจใช้เวลานานสุดประมาณ 3 สัปดาห์อาการดังกล่าวจึงหายไป
5.Raw Skin : หลังทำการรักษาในระยะเวลาของการผลัดเซลล์ผิว ควรใช้ครีมชุ่มชื้น เช่น Aquaphor หรือ Bacitracin หรืออื่นๆห้ามแกะผิวที่เป็นสะเก็ด ควรให้มีการผลัดผิวตามกระบวนการปรกติเพียงใช้ครีมชุ่มชื้นตลอดระยะเวลาของการผลัดเซลล์ผิวใหม่ก็เพียงพอ
การปฏิบัติตัวก่อน-หลัง
• Skin Care Product : ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ในสัปดาห์แรกหลังทำการรักษา ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระคายผิวและไม่อุดตัน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน อาทิเช่น Aveeno , Dove , Neutrogena and Cetaphil
• Sunscreen : ควรใช้ครีมกันแดดที่ SPF มากกว่า 30 และครอบคลุมทั้ง UVA และ UVB ควรทาครีมก่อนออกจากบ้านประมาณ 20 นาที และหากอยู่ในที่แจ้งควรทาซ้ำ ทุกๆ 2 ชั่วโมงและหากอยู่กลางแดดควรสวมหมวก หรือเสื้อผ้าที่ปกคลุมบริเวณที่ทำการรักษา
• Moisturizer : ควรทาครีมชุ่มชื้นที่ไม่ระคายเคืองและไม่อุดตัน บริเวณที่ทำการรักษา ตลอดระยะเวลาของการรักษา เพื่อให้ได้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวที่สมบูรณ์ที่สุด
• Scrubs , Toners , Glycolic acid and Retin A : ในระยะสัปดาห์แรกของการรักษาผิวจะค่อนข้างบอบบางและระคายเคืองง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
• Bleaching Cream : ควรหลีกเลี่ยงการใช้ในระยะหลังทำการรักษา ควรรอให้ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนก่อนประมาณ 3 สัปดาห์ หมั่นสังเกตผิวใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนผิวเดิม  หากคนไข้มีประวัติการเป็น Cold Sores ให้ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการดูแลผิว 

Tripolar Rf

นวัตกรรมใหม่ Tripolar

Tripolar เป็นนวัตกรรมใหม่  เพื่อผิวเนียนสวย ยกกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย และสลายเซลล์ลูไลท์ เพิ่มความเนียนเรียบกระชับของผิวกาย ขจัดปัญหาผิวเปลือกส้ม
Tripolar เป็นการนำ Technology ของUni-polar และ bi-Polar มารวมกันเป็น Tripolar เพื่อให้ ประสิทธิภาพที่สูงกว่าทำให้สามารถกระตุ้นเซลล์ได้ลึกถึง 2 ระดับชั้น คือ Dermis และ Subcutaneous โดยการฟื้นฟูสภาพผิวด้วย Rediofrequency (RF) โดยการส่งกระแสไฟคลื่นความถี่วิทยุเข้าไปกระตุ้นเซลล์ทำให้มีการสร้างและการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นดีขึ้น ความหย่อนคล้อยและริ้วรอยลดลง ช่วยแก้ปัญหารอยย่น ร่องลึก และรอยตีนกาบนใบหน้า ทั้งชนิดลึกและตื้นอย่างได้ผลดี   เป็นการยกกระชับหน้าให้หน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะรอยตีนกาชนิดลึก ซึ่งยากต่อการแก้ไข และยังสามารถสลายเซลล์ลูไลท์โดยการสะสมพลังความร้อนโดยเฉพาะที่ไขมัน เพิ่มการเผาผลาญของไขมัน ทำให้ไขมันหดตัวและเล็กลง เพิ่มความกระชับและเนียนเรียบของผิว ขจัดปัญหาผิวเปลือกส้มอย่างชัดเจน
โดยมีรายงานเบื้องต้นพบว่าเกือบ 100 % ของผู้เข้ารับการรักษา มีความพึงพอใจกับผลการรักษา
การรักษาด้วย tripolar
เห็นผลทันทีและชัดเจนแม้ในครั้งแรกของการรักษาผลข้างเคียงน้อยมากเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยการผ่าตัดดึงหน้าผลการรักษาอยู่ได้นานและสามารถทำการรักษาซ้ำได้ไม่จำกัด
ผิวหน้า
เป็นการกระชับผิวหน้า ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ด้วยการรักษาเพียงครั้งแรก ท่านสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น ใบหน้ายกกระชับ เต่งตึงขึ้น  รูขุมขนเล็กลง รอยย่นต่างๆ ร่องลึกลดลงอย่างชัดเจนในทันทีหลังการรักษาครั้งแรก การรักษาซ้ำด้วย tripolar ทุกสัปดาห์ติดต่อกัน 6 ครั้ง และการรักษาซ้ำอีกเดือนละครั้งอีกเพียง 3 ครั้ง ก็จะทำให้ผลการรักษาได้ผลรวดเร็วชัดเจน และ ได้ผลที่ถาวรขึ้น
 การนำเทคโนโลยีของคลื่นวิทยุชนิดหัวเดียว (Unipolar) และคลื่นวิทยุชนิดสองหัว (Biipolar) มารวมกัน เพื่อให้ประสิทธิภาพที่สูงกว่าทำให้สามารถกระตุ้นเซลล์ได้ลึกถึง 2 ระดับชั้น คือ ชั้นหนังแท้(Dermis) และชั้นไขมัน(Subcutaneous) จึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจนทำให้ใบหน้าและลำคอ ยกกระชับตึง เพิ่มความเรียบนียนของผิว รู้สึกได้เพียงการรักษา 3-5 ครั้ง
ผิวกาย
เป็นการกระชับผิว สลายเซลล์ลูไลท์ เพิ่มความเนียบเรียบของผิว ลดปัญหาผิวเปลือกส้มอย่างชัดเจนเพียงการรักษาครั้งแรก ควรรักษาซ้ำทุกสัปดาห์ติดต่อกัน 8 ครั้ง และรักษาซ้ำอีกเดือนละครั้ง อีกเพียง 3 ครั้ง ก็จะทำให้ผลการรักษาได้ผลรวดเร็วชัดเจน และได้ผลที่ถาวรขึ้น
ขณะทำการรักษาด้วยTripolar
จะไม่มีอาการเจ็บเลยแต่จะรู้สึกอุ่นๆและผ่อนคลาย เหมือนการนวด แต่ในบางครั้งอาจรู้สึกเหมือนโดนช๊อดที่หน้าในบางตำแหน่ง เช่น หน้าผาก เป็นต้น
หลังทำการรักษาด้วย Tripolar
ผิวบริเวณที่ทำการรักษาด้วย Tripolar จะอุ่นๆและมีสีชมพู ไม่ต้องตกใจ ประมาณ 30 นาที ก็จะกลับมาเป็นปกติ
การปฏิบัติตัวหลังทำTripolar
 ควรให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษาคลายความร้อนไปเอง  คารทามอยเจอร์ไรเซอร์บริเวณที่ทำการรักษาอย่างทุกวันเพื่อให้ผิวชุ่มชื่น

Botox ลดริ้วรอย ปรับรูปหน้า

                                 
 Botox "โบท็อกซ์"
เป็นชื่อทางการค้าของสารชีวภาพชนิดหนึ่งคือ โบทูลินัม ท็อกซิน เอ ที่มาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดคลายตัวชั่วคราว ดังนั้นจึงนิยมนำโบท็อกซ์มาใช้สำหรับการลดรอยย่นของผิวหนัง เช่นรอยย่นเวลาขมวดคิ้ว เพราะเมื่อกล้ามเนื้อหดตัวแล้ว เวลาขมวดคิ้วกล้ามเนื้อจึงไม่จับกันเป็นก้อนนูนออกมา และยังสามารถช่วยในการปรับแต่งรูปหน้าได้ เช่น ยกคิ้ว ยกมุมปาก ลดปีกจมูก ฉีดลดกรามทำให้หน้าเรียว ฉีดลดเงื่อในผู้ที่ภาวะเงื่อออกมาก รักแร้ ฝ่าเท้า เป็นต้น
ผลของการฉีด โบท็อกซ์ 
 ในกรณีที่ฉีดเพื่อการลดริ้วรอย หลังฉีดโบท็อกซ์แล้ว ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์เช่น การขมวดคิ้ว รอยย่นที่หน้าผาก ตีนกาการฉีดคิ้วโก่ง แก้มุมปากตก ลดปีกจมูก รอยย่นจมูกที่เกิดจากการยิ้ม  ริ้วรอยเหล่านี้จะลดลงเห็นผลภายใน 7 วัน และอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน  ผิวจะดูเรียบเนียนมากขึ้น ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ หรือกรณีที่ฉีดปรับแก้ไขรูปหน้า หรือฉีดลดกรามทำหน้าเรียวนั้นจะเห็นผลภายใน 1 เดือน และอยู่ได้ประมาณ 1 ปี แต่การฉีดกรามนั้นจะต้องใช่ปริมาณ Botox ที่มากกว่าการฉีดลดริ้วรอยบนใบหน้า ส่วนการฉีดควบคุมต่อมเหงื่อ เพื่อลดเหงื่อใต้วงแขน โดยการทำงานยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ Sympathetic ที่ควบคุมต่อมเหงื่อทำให้ผลิตเหงื่อลดลงได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ต้องฉีดหลายเข็ม และต้องใช้ยาประมาร 10 unit ถึงจะได้ผลดี จะเห็นผลภายใน 7 วัน และจะอยู่ได้ประมาณ 4-6 เดือน
หลังฉีดโบท็อกซ์ 
หลังการฉีดผิวบริเวณที่ฉีกจะมีลักษณะเป็นตุ่มคล้ายโดนยุงกัด และอาจมีจุดเลือดออกตามรอยเข็มเล้กน้อย และจะหายไปภายใน 4-6 ชม. บุคคลที่เคยฉีด Botoxสามารถฉีดซ้ำได้ต่อเมื่อกล้ามเนื้อกลับสู่สภาพเดิม  **ห้ามฉีด Botox ซ้ำบริเวณที่เคยฉีดมาแล้วเพราะอาจมีผลทำให้กลามเนื้อบริเวณนั้นอ่อนแรงได้**

การฉีด Botox 
 นั้นแสนง่าย รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เหมือนการทำศัลยกรรม ฉีดเสร็จก็สามารถกลับบ้านได้เลย สามรถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ  แถมราคาก็สบายกระเป๋า เพราะเสริมแต่ง หรือ แก้ไขเฉพาะจุดที่จำเป็น โดยเฉพาะผู้เข้ารับการรักษาที่มีอายุน้อยซึ่งความแข็งแรงยืดหยุ่นของผิวพรรณยังค่อนข้างสมบูรณ์ดีอยู่ จะใช้ยาในปริมาณที่น้อยมาก การแก้ไขในบางจุดจึงมีราคาแค่พันต้นๆ เท่านั้น
การฉีดโบท็อกซ์นั้นเหมาะกับผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะรูปหน้าคงที่แล้ว หากต้องการปรับแต่งรูปหน้าให้สวยเรียว ได้รูปหรือ ต้องการปรับเล็กๆ น้อยๆเพื่อแก้โหงวเฮ้ง หรือเสริมบุคลิกภาพเพื่อสังคม ผู้มีอายุต่ำกว่านั้นก็สามารถทำได้ ไม่ต้องรอให้วัยล่วงเลย
บุคคลที่ไม่ควรฉีด Botox
1. ผู้ป่วยโรคระบบกล้ามเนื้อ
2. ผู้ที่มีประวัติแพ้ Albumin
3. ผู้ที่มีประวัติแพ้ Botulinum Toxin
4. หญิงมีครรภ์อยู่ระหว่างให้นมบุตร
การเตรียมตัวก่อนการฉีด
1. ห้ามรับประทานยาลดการอักเสบ หรือแอสไพริน ก่อนการฉีดยา 1 อาทิตย์
2. ควรหยุดรับประทานวิตามิน โดยเฉพาะ วิตามินอี น้ำมันปลา ใบแปะก๊วย และสมุนไพรร้อน เช่น โสม ก่อนการรักษาประมาณ 2-3 วัน
3.ในบางคนที่ทดความเจ็บได้น้อยอาจทายาชา 30-45นาทีก่อนฉีด หรือมีการประคบเย็นก่อนก็ได้
ความรู้สึกขณะฉีดBotox
ขณะฉีด Botox จะรู้สึกเหมือนโดนมดกัด และมีอาการแสบเล็กน้อย  ไม่เจ็บมาก หลังฉีดจะมีตุ่มแดงเหมือนยุงกัด และรู้สึกตึงๆบริเวณที่ฉีด อาการเหล่านี้จะหายไปในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง  ส่วนการฉีกกรามสำหรับหน้าเรียวจะรู้สึกตึงบริเวณกรามอ้าปากลำบากประมาณ 2ชั่วโมง
การปฏิบัติตัวหลังฉีดBotox
1. ห้ามนอนราบ 3 ชม. หลังทำ เนื่องจากตัวยาอาจกระจายออกนอกตำแหน่งที่ฉีด ทำให้ไม่ได้ประสิทธิภาพที่ต้องการ
2. ห้ามนวดบริเวณที่ฉีด เพราะทำให้ยากระจายตัวไปที่กล้ามเนื้อรอบดวงตาได้
3. ขยับกล้ามเนื้อที่ฉีด ทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกหลังฉีด เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดีขึ้น
4. หากมีรอยช้ำหลังฉีด ประคบเย็นที่บ้านต่อ ไม่ให้นวด หรือประคบอุ่น และงดทานยาจำพวก แอสไพริน วิตามินอี สมุนไพรร้อน     เช่น แปะก๊วย โสม 2-3 วัน เพื่อลดรอยช้ำหลังฉีด (หากมี)
5. ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 2 อาทิตย์แรกซึ่งอาจจะมีผลทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี หรืออาจแย่ไปกว่านั้นอีกก็คือ     ทำให้เกิดริ้วรอยแผลบริเวณตำแหน่งที่ฉีดโบท็อกซ์
6. ช่วงเดือนแรกงดเว้นการนวดหน้าแรงๆ หรือ การทำ treatment ร้อน เช่น RF, การซาวน่า
7. สำหรับผู้ที่ฉีดหน้าเรียว ควรงดเว้นการเคี้ยวหมากฝรั่ง เนื่องจากจะทำให้การฉีดไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
8. กลับมาพบแพทย์ครั้งต่อไปอีก 1 อาทิตย์ หรือถ้าฉีดหน้าเรียวพบแพทย์ครั้งต่อไปอีก 2 อาทิตย์หลังจากวันที่ฉีด
อันตรายหรือผลข้างเคียงจากBotox
การฉีดมีผลทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อฝ่อตายแต่อย่างใด ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงอย่างเช่น อาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ คันคันบริเวณที่ฉีด หรือบางรายหนังตาตก แต่พบได้น้อยมาก โดยเฉพาะหากฉีดในปริมาณน้อยๆ เพื่อการปรับรูปหน้า และอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง
อัตราค่าบริการในการฉีดในการฉีด Botox 
จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีด บริมาณยาที่ใช้ บวกค่าฉีด ราคาในการฉีดของแต่ละเคสอาจไม่เท่ากัน และที่สำคัญขึ้นอยู่กับสถานความงามนั้นๆด้วย
คำแนะนำ : Botox มีชื่อทางการค้าหลายชื่อ มีราคาตั้งแต่ 2,000-10,000 ขึ้นไป ผู้ผลิตก็มีทั้ง เกาหลี  อเมริกา และอื่นๆ ก่อนที่จะฉีดควรศึกษาหาข้อมูล เปรียบเทียบราคา ก่อนตัดสินใจ ก่อนทำการฉีดควรขอดูขวดBotoxก่อนเสมอว่าใช้Botoxจริงหรือเปล่า  เพื่อความมั่นใจ

Thursday, April 19, 2012

Jet peel ออกซิเจนบริสุทธิ์

Hyperbaric Oxygen Jet Peel

Oxygen jet peel: ผลัดเซลล์ผิวด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์
เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น การนำพา Oxygen มาสู่ผิวหนังทางเส้นเลือดจะลดลงเสื่อมสภาพขาดชีวิตชีวา การใช้เครื่อง Hyperbaric Oxygen jet Peeling จะทำให้ผิวได้รับ Oxygen เต็มที่ พลังงานในระดับเซลล์เพิ่มขึ้นทำให้เซลล์สามารถขจัดสารพิษ และซ่อมแซมเซลล์เสื่อมสภาพได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดูแข็งแรง ดูสดใสอ่อนเยาว์อีกครั้งหนึ่ง
ประโยชน์ Jet Peel  เป็นเทคโนโลยีใหม่ซึ่งดัดแปลงมาจากการใช้แรงดันอวกาศความเร็วสูง  พ่นลงไปบนผิวเพื่อทำความสะอาดผิวให้ลึกขึ้น  กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวด้านบน  ตามด้วยขั้นตอนการเพิ่มออกซิเจนให้ผิวหนังรวมทั้งบำรุงผิวด้วยน้ำแร่เย็น ลักษณะจำเพาะของ Jet peel ที่แตกต่างจากเครื่องมือทางการแพทย์ที่เคยมีมา โดยการผสมผสานการทำงานทั้งหมด 4 ขั้นตอนจึงทำให้ผลการรักษาเหนือกว่าการลอกหน้า กรอผิว ไอออนโต หรือโฟโน คือ
1.การทำความสะอาดผิวจากสิ่งที่ตกค้างตั้งแต่ชั้นบนไปจนถึงผิวหนังทั้งหมดในบริเวณนั้น พร้อมกันนั้นก็จะมีการกระตุ้นระบบหมุนเวียนในผิวหนังทำให้เกิดการกำจัดของเสียในผิวชั้นลึกและมีการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและความยืดหยุ่นให้ผิวอีกด้วย
2.กระตุ้นการผลัดเซลผิวหนังชั้นนอกทำให้ได้ผิวใหม่ที่ดูสดใส  วิธีนี้ให้ผลได้ใกล้เคียงกับการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี(Microdermabresion)  แม้จะให้ผลช้ากว่าเล็กน้อยแต่ก็อ่อนโยนกว่าและไม่ระคายเคือง เหมาะสำหรับคนที่อยากทำทรีทเม้นท์หน้าใสผลัดเซลล์ผิวเก่าสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่ดูเรียบเนียนและสดใสขึ้น  มีความชุ่มชื่นของผิวมากขึ้น  รอยด่างดำบนผิวหน้าจะจางลง และมีสุขภาพดี
3.การให้สารน้ำจำพวกวิตามินเช่น วิตมิน ซี กูตาไทโอน เป็นต้น
4.การเติมออกซิเจนให้กับผิวหนัง ทำให้ผิงชุ่มชื่น
5. เป็นการดีท็อกผิว ให้เกิดการไหลเวียนระบบเหลือที่ดีขึ้น
ซึ่งหลักการทำงานแบบนี้สามารถช่วยในการผลัดเซลล์ผิวทำความสะอาดผิวได้อย่างล้ำลึก เพิ่มความชุ่มชื้นพร้อมกับให้สารอาหารและออกซิเจนแก่ผิว จึงทำให้ผิวสดใสเปล่งปลั่ง และเรียบเนียน สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยจุดด่างดำต่างๆ ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย รวมทั้งสามารถขจัดของเสียออกจากเซลล์ และยังมีประสิทธิภาพในการช่วยรักษาสิวได้อีกด้วย
ขณะทำการรักษา
เครื่องนี้จะทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกเย็นสบายไม่มีอาการเจ็บแต่อย่างใด และมีเสียงดังขณะทำ การ Jet peel  ไม่น่ากลัว และไม่เจ็บขณะทำ
หลังการรักษา
ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนหรือซีดลงเล็กน้อยบริเวณที่รักษา เมื่อรักษาเสร็จแล้วผิวจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังการรักษาประมาณ 30 นาที ดังนั้น จึงสามารถทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆได้ทันที สามารถทำได้ทุกอาทิตย์   สามารถทำ Jet Peel  ได้บ่อยครั้ง 3 วันครั้ง หรืออาทิตย์และครั้งก็ได้
 ข้อเสียของเครื่องนี้คือทำการรักษาจะมีเสียงดังเล็กน้อยและมีลมเป่าที่หน้าอาจทำให้รู้สึกอึดอัดได้
การปฏิบัติหลังทำ Jet peel
ควรทามอยเจอร์ไลเซอร์  และทากันแดดเพื่อปกป้องผิวเสมอ